3 ธันวาคม 2019
21.7k
 

พัฒนาการและรูปแบบเรือนล้านนา

 

เรือนล้านนารูปแบบต่างๆ สร้างขึ้นตามลักษณะการใช้พื้นที่ภายในเรือนและฐานะของเจ้าของเรือน  โดยเรือนแต่ละแบบต่างก็มีความสอดคล้องกันของวิถีชีวิตประจำวันกับการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่แยกออกจากกันเป็นสัดส่วน  ซึ่งเรือนในยุคแรกๆ ของล้านนามักสร้างมาจากไม้ไผ่หรือเป็นเรือนเครื่องผูก  จากนั้นก็มีพัฒนาการมาเป็นเรือนที่สร้างจากไม้จริง  แล้วนำรูปแบบของเรือนตะวันตกมาผสมผสานในยุคหลัง

            ในอดีตการสร้างเรือนขึ้นอยู่กับฐานะของผู้สร้าง  หากเป็นคหบดีที่มีฐานะดีจะสร้างเรือนหลังใหญ่ด้วยไม้จริงทั้งหลัง  ส่วนชาวบ้านทั่วไปนิยมสร้างเรือนด้วยไม้ไผ่ผสมกับไม้จริง  โดยมีโครงสร้างเรือน  เช่น  เสา  ขื่อ  แวง  เป็นไม้จริง  ส่วนฝาและพื้นเรือนทำมาจากไม้ไผ่สับฟาก  หากเรียงลำดับตามพัฒนาการของเรือนล้านนา  สามารถแบ่งรูปแบบเรือนดังนี้

  1. เรือนเครื่องผูก  เป็นเรือนที่สร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่  ตัวเรือนขนาดเล็ก  ดังจะเห็นรูปแบบของเรือนเครื่องผูกนี้ได้ตามภาพจิตรกรรมฝาผนังของล้านนา  มีรูปแบบเป็นเรือนจั่วเดียวยกพื้นสูง  ในอดีตเรือนเครื่องผูกเป็นเรือนของชาวบ้านทั่วไป  ที่สร้างขึ้นกันเองโดยการตัดไม้ไผ่มาประกอบกันขึ้นเป็นโครงสร้างของเรือน  แล้วใช้ตอกหรือเส้นหวายยึดให้ติดกัน  อาจมีการใช้เสาเรือนด้วยไม้จริงบ้าง  แต่โดยรวมแล้วองค์ประกอบของเรือนส่วนใหญ่จะทำมาจากไม้ไผ่  เช่น  โครงสร้างหลังคา  ฝาและพื้นเรือนที่ทำมาจากไม่สับฟาก  นอกจากนั้นเรือนเครื่องผูกยังเหมาะสำหรับคู่แต่งงานที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัวใหม่  มักสร้างเป็นเรือนเครื่องผูกแบบชั่วคราวก่อนที่จะเก็บเงินและไม้จริงได้พอเพียงสำหรับขยายเรือนต่อไป

 

  1. เรือนไม้จริง  เป็นเรือนที่สร้างขึ้นจากไม้เนื้อแข็งทั้งหมด  ในล้านนานิยมใช้ไม้สักเพราะหาได้ง่าย  มีอายุการใช้งานนาน  อีกทั้งเนื้อไม้ไม่แข็งมากนัก  จึงสามารถเจาะหรือแต่งรูปไม้ได้ง่าย  ขนาดของเรือนขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าของเรือน  ซึ่งมักทำเป็นเรือนที่มีทั้งจั่วเดียวและสองจั่ว  โดยเรือนที่มีจั่วเดียวจะมีโครงสร้างเช่นเดียวกับเรือนเครื่องผูก  เพียงแต่สร้างขึ้นมาจากไม้จริง  ตั้งแต่โครงสร้างหลังคาไปจนถึงฝาและพื้นเรือนที่ทำด้วยไม้กระดาน  ด้านหน้าเรือนนิยมทำเป็นชานโล่ง  แล้วเชื่อมต่อตัวชานกับเรือนด้วยเติ๋น  ส่วนเรือนที่สร้างแบบสองจั่วหรือเรือนจั่วแฝด  ทางล้านนาเรียกว่า  “เรือนสองหลังฮ่วมพื้น”  มีการแบ่งพื้นที่การใช้สอยเป็นระเบียบมากขึ้น  โดยจั่วที่มีขนาดใหญ่อยู่ทางด้านตะวันออกเป็นเรือนนอน  อีกจั่วที่ขนาดเล็กลงมาอยู่ทางด้านตะวันตก  เป็นส่วนของเรือนครัวหรือครัวไฟ  ใช้เป็นที่ประกอบอาหารและเก็บเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ  ระหว่างชายหลังคาของเรือนทั้งสองที่มาจรดกันจะสร้าง  “ฮ่อมริน” หรือรางรินสำหรับระบายน้ำฝน  ส่วนชานก็จะสร้างทั้งด้านหน้าเรือนและหลังเรือน   ทั้งนี้หากสมาชิกในครอบครัวมีจำนวนมากก็จะขยายห้องให้กว้างขึ้น  โดยใช้พื้นที่ใต้ชายคาของจั่วแฝดทั้งสองเป็นห้องโถงใหญ่  เพื่อเพิ่มบริเวณใช้สอยสำหรับนอนและอยู่อาศัยของสมาชิกทั้งหมด  แล้วสร้างเรือนครัวแยกออกมาจากตัวเรือนนอน  โดยสร้างระเบียงหรือชานเชื่อมต่อเรือนทั้งหมดเข้าด้วยกัน 

ส่วน  “เรือนกาแล”  ที่เจ้าพญาและคหบดีนิยมสร้างนั้น  มีรูปแบบเป็นเรือนจั่ว

แฝดขนาดใหญ่เช่นเดียวกันกับเรือนสองหลังฮ่วมพื้น  เพียงแต่เพิ่ม  “กาแล”  ติดไว้บน

ยอดจั่วหลังคา  มีลักษณะเป็นแผ่นไม้รูปกากบาทแกะสลักด้วยลวดลายที่สวยงาม  เชื่อว่า

รูปแบบของเรือนกาแลนี้มีพัฒนาการมาจากเรือนของกลุ่มชาวลัวะที่ใช้ไม้ไผ่วางไขว้กัน

เหนือยอดจั่วเรือน

            ในช่วง  100-80  ปีที่ผ่านมาชาวบ้านทั่วไปนิยมสร้างเรือนด้วยไม้จริงมากขึ้น  จึง

เกิดรูปแบบเรือนที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น  เรียกว่า  “เรือนพื้นถิ่น” 

เป็นเรือนที่มีการผสมผสานกันของรูปแบบเรือนโบราณล้านนากับเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์

ต่างๆ ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในดินแดนล้านนา  เช่น  ไทลื้อ  ไทเขิน  ไทยอง  จึงทำให้

เรือนในยุคนี้มีความหลากหลายทั้งรูปแบบผังเรือนและการตกแต่ง  ทั้งยังเกิดพัฒนาการ

ของการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในตัวเรือนให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น 

            ลักษณะของเรือนกาแล  ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของล้านนา  เนื่องจากเป็น

เรือนที่นิยมสร้างกันมากในกลุ่มคนยวนล้านนา  โดยมีพื้นที่ใช้สอยสัมพันธ์กับวิถี

ชีวิตประจำวันและคติความเชื่อ  ซึ่งแบ่งออกเป็นพื้นที่ต่างๆ  ดังนี้

  • เรือนนอน  อยู่ด้านตะวันออก  เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ห้องเดียวยาวตลอดตัวเรือน  แต่จะแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆ ให้กับลูก โดยใช้ผ้ากั้งหรือผ้าม่านขึงไว้ตามช่วงเสา  การนอนต้องหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก  บริเวณฝาผนังด้านปลายเท้าเป็นที่วางหีบหรือซ้าสำหรับใส่เสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัว  และมี “แป้นต้อง”  ที่ทำจากไม้กระดานวางเป็นแนวยาวตลอดตัวเรือน  เพื่อเป็นทางเดินออกไปด้านนอกห้องนอนโดยเกิดเสียงดังรบกวนผู้อื่น  บริเวณหัวเสาเอกหรือเสาพญามี  “หิ้งผีเรือน”เป็นชั้นไม้  ใช้วางของสักการะ
  • เรือนไฟหรือเรือนครัว  ใช้เป็นพื้นที่ประกอบอาหารและเก็บของใช้ต่างๆ  ในอดีตมีเตาไฟเป็นก้อนหินสามเส้าวางบนกระบะสี่เหลี่ยม  ต่อมาจึงใช้เตาอั้งโล่แทน  เหนือเตาไฟมีชั้นวางของทำมาจากไม้ไผ่สานโปร่งๆ  ใช้วางเครื่องใช้ประเภทงานจักสานและเก็บเครื่องปรุง  จำพวกหอม  กระเทียม  ฯลฯ  จะช่วยป้องกันมอด  แมลงต่างๆ ได้  ฝาผนังของเรือนครัวจะทำแบบห่างๆ หรือทำเป็นไม้ระแนงเพื่อช่วยระบายอากาศจากควันไฟ
  • เติ๋น   เชื่อมต่อกับชานด้านหน้าของตัวเรือน  โดยยกพื้นสูงขึ้นจากระดับพื้นชานให้พอนั่งพักเท้าได้  เป็นพื้นที่กึ่งอเนกประสงค์มีผนังปิดเพียงด้านที่ติดกับห้องนอน  ใช้สำหรับอยู่อาศัยในช่วงกลางวัน  เช่น  ทำงานจักสาน  นั่งเล่น  รวมถึงใช้เป็นที่รับแขก  บริเวณฝาเรือนด้านตะวันออกมีหิ้งพระสำหรับสักการะบูชา
  • ชาน  เป็นพื้นที่เปิดโล่งอยู่ทางด้านหน้าเรือนเชื่อมกับบันไดทางขึ้น  บริเวณขอบชานด้านที่ติดกับเติ๋นมี  “ฮ้านน้ำ”  สร้างเป็นชั้นไว้เป็นที่วางหม้อน้ำดื่ม  หากเป็นชานด้านหลังเรือนจะเชื่อมกับเรือนครัว  ใช้เป็นที่ซักล้างและวางภาชนะต่างๆ
  • ใต้ถุนเรือน  ชาวล้านนาจะไม่นิยมอยู่อาศัยใต้ถุนเรือน  เพราะบริเวณนี้เป็นที่เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ  และเป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์  ส่วนห้องน้ำก็จะสร้างแยกออกมาจากตัวเรือน  มักอยู่ด้านหลังเรือนใกล้กับทางขึ้นบันไดหลัง

 

  1. เรือนร้านค้า  ลักษณะเป็นเรือนในแนวขวางขนานไปกับถนน  มีตั้งแต่ชั้นเดียวไปจนถึงสามชั้น  เรือนร้านค้าของล้านนาในอดีตใช้อิฐและไม้เป็นโครงสร้างหลัก  หากสร้างชั้นเดียวจะเลือกใช้ไม้หรือผนังก่ออิฐก็ได้  แต่ถ้าเป็นเรือนที่มี 2- 3 ชั้นขึ้นไป  ก็จะสร้างชั้นล่างด้วยผนังปูนต่อด้วยชั้นบนสุดเป็นไม้เนื้อแข็ง  เพื่อให้ชั้นล่างสามารถรับน้ำหนักของชั้นบนรวมถึงหลังคาได้  เนื่องจากโครงสร้างเรือนในอดีตใช้วิธีการก่ออิฐหนาเป็นโครงสร้างอาคารแทนการใช้ขื่อคานและการเสริมเหล็กเส้นดังเช่นในปัจจุบัน  ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างเรือนให้มีความสูงเกิน 3  ชั้นได้  ลักษณะเด่นของเรือนร้านค้าจะมีพื้นที่ชั้นล่างรองรับการค้าขายโดยเฉพาะ  มักทำเป็นประตูบานเฟี๊ยมยาวตลอดทั้งแนวของอาคาร  เมื่อเปิดประตูออกมาก็จะเห็นพื้นที่ทั้งหมดของหน้าร้าน  ส่วนพื้นที่ด้านหน้าเรือนชั้นบนนิยมทำเป็นระเบียงยาวตลอดตัวเรือน  ด้านในเรือนก็จะเป็นที่พักอาศัย

ในช่วงที่มีการค้าขายไม้ในล้านนา  รูปแบบเรือนร้านค้ามีการตกแต่งด้วยลวดลาย

ไม้ฉลุอย่างสวยงามตามรูปแบบอิทธิพลศิลปะตะวันตก  ดังจะเห็นรูปแบบเรือนร้านค้า

เช่นนี้ตามเส้นทางสายธุรกิจในอดีต  เช่น  ถนนท่าแพ  ถนนเจริญราษฏ์  จังหวัดเชียงใหม่ 

ถนนกาดกองต้า  จังหวัดลำปาง  เป็นต้น 

 

  1. เรือนแบบตะวันตก  คือเรือนที่ได้รับรูปแบบโครงสร้างและการตกแต่งมาจากประเทศในแถบตะวันตก  ซึ่งมาพร้อมกับการทำไม้ในล้านนา  เรือนแบบตะวันตกนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มของเจ้านายล้านนา  คหบดี  พ่อค้าคนจีน  รวมถึงกลุ่มคนพม่า-ไทใหญ่ที่ร่ำรวยจากการค้าไม้ในช่วงรัชกาลที่  5  ลักษณะของเรือนสามารถแบ่งออกเป็น  3  รูปแบบใหญ่ๆ  คือ
    • เรือนขนมปังขิง  เป็นชื่อเรียกของเรือนที่ตกแต่งด้วยลวดลายไม้ฉลุตามส่วนต่างๆ  ของเรือน  เช่น  เชิงชายคา  ระเบียง  ช่องลม  เป็นต้น
    • เรือนหลังคาทรงปั้นหยา  เป็นรูปแบบหลังคาที่ไม่มีหน้าจั่ว  หลังคาตามแนวขวางของตัวเรือนจึงมุงกระเบื้องจนเต็มทั้งหมด
    • เรือนหลังคาทรงมะนิลา  มีลักษณะคล้ายกับหลังคาทรงจั่ว  แต่เป็นจั่วสามเหลี่ยมขนาดเล็กต่อด้วยชายหลังคาขนาดใหญ่คลุมลงมาจนถึงตัวเรือน

 

วัสดุที่ใช้สร้างเรือนแบบตะวันตกมีทั้งไม้และปูนซีเมนต์  ส่วนใหญ่จะใช้ปูนเป็น

โครงสร้างและก่อเป็นอาคารทรงตึก  บางหลังก็สร้างจากไม้จริงทั้งหมดพร้อมประดับ

ตกแต่งด้วยลวดลายไม้ฉลุ  ลวดลายส่วนใหญ่ได้รับรูปแบบมาจากตะวันตก  มักทำเป็นลาย

ดอกไม้  ลายเถาว์  หรือลายหลุยส์  ฯลฯ  การตกแต่งเช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะ

แบบวิคตอเรียน  ตามรสนิยมของประเทศอังกฤษ  พื้นที่ใช้สอยภายในตัวอาคารแบ่ง

ออกเป็นห้องต่างๆ แยกตามประเภทของการใช้งาน  โดยสร้างตามผังของเรือนตะวันตกที่

มีห้องต่างๆ  เช่น  ห้องนอน  ห้องนั่งเล่น  ห้องรับแขก  ห้องรับประทานอาหาร  เป็นต้น 

ซึ่งการแบ่งห้องเช่นนี้เพิ่งจะเปลี่ยนแปลงหลังจากที่รับเอารูปแบบเรือนมาจากตะวันตก